วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โรคต้อหิน


รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม...เป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นโรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้
ลองอ่านกันดู ศึกษากันไว้บ้าง ก็คงไม่เสียหลาย
ข้อมูลนี้ได้รับมาจาก โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต

---------------------------------------------------
โรคต้อหิน คือ กลุ่มโรคของดวงตาซึ่งมีการทำลายของเส้นประสาทตาจากหลายสาเหต ุโดยการมีความดันลูกตาสูงเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งทำให้ลานสายตาแคบลงเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งตาบอดในที่สุด ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที นอกจากนี้แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนความดันลูกตาลดลงมาเป็นปกติ แต่สายตาที่เสียไปแล้วจากภาวะต้อหินนี้ ไม่สามารถกลับคืนมาดีเหมือนเดิมได้ ต้อหินจึงจัดเป็นโรคตาที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง


อาการ – ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินระยะแรกมักจะยังไม่มีอาการผิดปกติ สายตาจะยังปกติ และบางครั้งก็ไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด แต่เมื่อโรคดำเนินต่อไป ผู้ป่วยอาจจะเริ่มสังเกตได้ว่าลานสายตาของตนเองแคบลง แม้ว่าผู้ป่วยจะยังมองเห็นวัตถุที่อยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนดี แต่จะมองไม่เห็นถ้าวัตถุอยู่ด้านข้าง และเมื่อโรคแย่ลงเรื่อยๆ ลานสายตาก็จะค่อยๆ แคบลง และบอดในที่สุด บางรายอาจมาด้วยอาการปวดตา ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนอย่างเฉียบพลัน ร่วมกับมีอาการตามัวมองแสงเป็นสีรุ้ง

ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นต้อหินหรือไม่

แม้ว่าทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินได้ แต่ผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้จะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าผู้อื่น

1. อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

2. ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน

3. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

4. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

การรักษา – การรักษาโรคต้อหินทำได้หลายวิธีคือ

1. การใช้ยาหยอดตา

2. การรักษาโดยวิธีการใช้แสงเลเซอร์

3.การผ่าตัด

การเลือกวิธีการรักษานั้นขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลยพินิจของจักษุแพทย์ผู้รักษาว่าใช้วิธีใดจะเหมาะสมที่สุดในผู้ป่วยแต่ละราย โดยการใช้ยาหยอดตารักษาต้อหินเป็นวิธีที่ได้ผลดีและนิยมมากที่สุด

ข้อมูลจาก...แผนกสื่อสารการตลาด รพ.กรุงเทพภูเก็ต โทร.1719 ต่อ 1282

มือถือ 089-653-0212 (ฝน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ทั่วไป กรุณาใช้คำสุภาพ