รวมเรื่อง จิปาถะ


---------------------------------------------------------------------------------------------------
FW: จากสาวสวยคนนึงเขียนถึงผู้ชายในเน็ต

ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบาทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธรนี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆ รายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ

1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ (ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)

2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ

3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ

4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ

————————

หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า:

ถึงคุณสุดสวยครับ

หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ

รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผมน่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ

จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ ‘ความสวย’ เพื่อแลกกับ ‘เงิน’

เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามป?? และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร

นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ ‘ให้เช่าซื้อ’ แทน

แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง (รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! ‘เช่าซื้อ’ กรุณาติดต่อผม….. เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** *********

เครดิตจาก Fwd ใน board pantip …

* หมายเหตุ .. ถ้าชำนาญ มีรายได้เดือนล่ะ สามแสน จะยอมเป็น คนโง่ สัก หกเดือน ฮ้า.ฮ้า.ฮ้า..*

------------------------------------------------------------------

ศิลปะ หรือ ยั่วยุกำหนัด

ศิลปะกับยั่วยุกำหนัด

ส่งท้ายปีเก่า 2552 ต้อนรับปีใหม่ 2553 กับความขัดแย้งลึกๆ ในอารมณ์ เกี่ยวกับ ข่าวปฏิทินโฆษณา เบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ที่ทางหน่วยงานของรัฐ บอกว่าผิดกฏหมาย แต่ทางผู้จัดทำ ปฏิทิน ออกมาตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนว่า มันผิดตรงไหน? เพราะภาพที่พวกเขาผลิตออกมานั้น เป็นภาพศิลป์.! ซึ่งพวกเขากำลังหลงประเด็น การทำผิดกฏหมาย เรื่องภาพงานศิลป์ กับ การใช้ภาพโฆษณาเครื่องดื่มมี แอลกอฮอล์

เอาล่ะ เรื่องทำผิดกฏหมายข้อไหน ไม่ได้เป็นแรงจูงใจ ให้ผมอยากเขียนเรื่องนี้ แต่ที่ อยากเขียน เพราะคำว่า ภาพศิลป์ กับ ภาพยั่วยุกำหนัด มากกว่า

หลายยุค หลายสมัย มาแล้วที่ถกเถียงกันถึงภาพถ่ายผู้หญิงแก้ผ้า ว่าเป็น ภาพศิลป์ หรือ เป็นภาพยั่วยุกำหนัด กันแน่ แต่ จนบัดนี้ ก็ยังฟันธงไม่ได้ว่า ภาพผู้หญิงสวยแก้ผ้าเป็นภาพแบบไหน.?

เพราะว่า นักศิลปะ มองแบบ ความอ่อนช้อย ความงดงาม ตามเส้นเว้า เส้นโค้งของสรีระผู้หญิง

พวกอนุรักษ์วัฒนธรรม มองแบบ ลามก อนาจาร

ทหาร ที่อยู่ในสนามรบ ตามชายแดน มองแบบ ถึงจะตายซักทีก็ขอให้ได้ ฮึ..

เด็กวัยรุ่น มองแบบ อยากไป สนามหลวง..

แต่ว่า พระ น่าจะมองได้สองแบบ ..!?

แบบที่หนึ่ง มองแบบ อนิจจัง วะตะ สังขารา (มีจำนวนตัวเลขไม่มาก)

แบบที่สอง มองแบบ อยากจะสึก เพราะยังสงสัย ยังไม่แจ้ง ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส (หาข้อมูลตัวเลขสรุปไม่ได้)

สำหรับส่วนตัวผมเอง ตั้งแต่รู้ ประสี ประสามา มองได้หลายแบบ เปลี่ยนไปตามจำนวนตัวเลขของอายุที่เพิ่มขึ้น พอจะสรุปได้ว่า….

เคยมองแบบ วัยรุ่น

มองแบบทหารชายแดน

บางครั้งมองแบบ พวกอนุรักษ์วัฒนธรรม

ส่วนแบบนักศิลปะ เคยพยายามหลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ

มองแบบพระ ณ.ปัจจุบัน มองเป็นแบบที่สอง ฮ้า..ฮ้า..

สำหรับแบบพระ แบบที่หนึ่ง ยังห่างไกล เหลือเกิน โยม.

สำหรับท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อท่านดูภาพด้านล่างนี้ แต่ล่ะภาพแล้ว ท่านลองสำรวจความรู้สึกของตัวเองว่า แต่ล่ะภาพทำให้ท่านมีความรู้สึกแบบไหน?

แล้วลอง คอมเม้นมาเล่าสู่กันอ่าน เผื่อจะหาข้อสรุป ได้บ้างว่า ศิลปะ กับ ยั่วยุกำหนัด

ควรจะเป็นภาพแบบไหน?

ขอให้ มีความสุข สวัสดี ปีใหม่ ๒๕๕๓

แบบนี้
———————————

หรือ แบบนี้

——————————————

--------------------------------------------------------------------------------------

ปัญหา ระหว่าง ตัวแทนขายทัวร์ กับ บริษัททัวร์ เขต อันดามัน


ขอเขียนถึงความ ไม่ลงตัว ระหว่าง ตัวแทนขายทัวร์(Agency) กับ ผู้ประกอบการนำเที่ยว หรือ บริษัททัวร์ (Tour company ) ในเขต อันดามัน ซึ่งเป็นเรื่อง อึดอัด หนักอก หนักใจ ของ บริษัททัวร์ ตลอดมา

สมมุติว่า ผมก่อตั้ง บริษัททัวร์ ขึ้นมาชื่อ “หิมพานต์ทัวร์” นำเที่ยวภูเขา หิมพานต์บรรพต จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย เปิดสำนักงาน ใหญ่โตโอ่โถง อยู่ย่านนักท่องเที่ยวใจกลางเมืองภูเก็ตเชียว (ที่สาธยายมานี่ ตัวเองมีความฝันมานานแล้ว แต่ไม่เคยเป็นจริงซักที แฮะ.แฮะ.) จัดการ พิมพ์ Brochure กำหนดโปรแกรม เPackage Tour ว่ามีอะไรบ้าง เริ่มต้นการเดินทางกี่โมง?, จบกี่โมง?, บริการอาหารและเครื่องดื่มอะไร.? เวลาไหน.?, สิ่งอำนวยความสะดวกที่บริษัทจัดให้, สิ่งของจำเป็นส่วนตัวที่จะต้องนำไป ฯลฯ, และที่สำคัญที่สุดคือ “ราคาค่าทัวร์” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ Package Tour ของผม.

สมมุติอีก (ก็บริษัทสมมุติ แต่เป็นเรื่องจริง) เมื่อมีทุกอย่างพร้อมแล้ว ผมจะนั่งคอยให้นักท่องเที่ยว เข้ามาติดต่อ ซื้อทัวร์ ที่บริษัท ซึ่งมีผม, พนักงานสำนักงาน, ไกด์ รวมสิบกว่าชีวิต คอยให้บริการ …นั่งตบยุง ไม่ถึงสามเดือนครับ.. ผมเจ๊งครับ.เพราะไม่มีใครรู้จัก บริษัท “หิมพานต์ทัวร์” แล้ว..ผมจะทำยังไงให้มีคนรู้จัก.?

ท่านผู้รู้ บอกว่า.. (ไม่สงวนลิขสิทธ์) จะต้องทำการ Promote,โฆษณา,ประชาสัมพันธ์ กับสื่อสิ่งพิมพ์,วิทยุ,โทรทัศน์, ป้ายคัตเอ้าท์, เว็ปไซต์ และที่สำคัญที่สุด ต้องทำ Contact กับ Counter tour ซึ่งเป็น Agency สำคัญ ที่มีอยู่เหมือนดอกเห็ด ตาม Lobby โรงแรมและ ตามชายหาดต่างๆ Agency เหล่านี้ได้สัมผัสกับนักท่องเที่ยวโดยตรง ตัวแทนขายทัวร์ต่างๆเหล่านี้ มีทั้งที่ จดทะเบียนกับ สำนักงานการท่องเที่ยวเขต ถูกต้องตามกฏหมาย และ พวกขาย ”ทัวร์เถื่อน” ซึ่งมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ ทีนี้มาดูกันว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหน?

ตามมาดูปัญหากันครับ มิตรรัก นักชม…

บริษัท หิมพานต์ทัวร์ พิมพ์ราคาขายไว้หน้า Brochure ผู้ใหญ่ คนล่ะ 2,000 บาท เด็ก คนล่ะ 1,500 บาท เมื่อไปติดต่อทำ Contact กับ ตัวแทนขายทัวร์ ราคา net ที่บริษัทจะได้ คือ ผู้ใหญ่ คนล่ะ 1,200 บาท เด็กคนล่ะ 1,000 บาท ตัวแทนขาย จะได้ส่วนต่าง 800 บาท กับ 500 บาท ต่อคน และส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยว ฝรั่ง จะมาคู่ เพราะฉะนั้นเขาจะได้ 800×2 =1,600 บาท เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว รายได้มาจากแค่พูดแล้วเก็บเงิน ส่วนบริษัทจะได้ 1,200×2=2,400 บาท ซึ่งต้องรับผิดชอบทุกอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา

ปัญหาอยู่ที่ว่า ตัวแทน (Agency) ขายคนล่ะ 2,000 บาท ฝรั่งไม่ซื้อนี่สิ..ฝรั่งบอกว่าแพง เขาจึงต้อง ลดราคาเหลือ 1,800 ไม่ซื้อ ลดอีก1,500 ไม่ซื้ออีก ลดอีก เหลือ 1,200 ทีนี้เท่าทุน แล้ว ฝรั่ง ก็ยังไม่ซื้ออีก ทำไม? เพราะฝรั่ง เดินถาม มาตลอดชายหาด ฝรั่งรู้ว่า ทัวร์นี่ ต่อ-รองราคาได้ เหมือน ซื้อผัก ซื้อปลา (ใครทำให้ ฝรั่งรู้.?) เขาจึงคิดว่าต้องมีที่ถูกที่สุด แต่..คุณพี่ Agency กลับคิดว่า..“เห้.ไอ้.ฝรั่ง ขี้เหนียว รู้มาก.. แต่ยังไง วันนี้ต้องขาย เอาเงินไปหมุนก่อน” แล้ว คุณพี่เขาก็ขาย 1,000 บาท ต่อคนครับท่าน ขาดทุนไปแล้ว คนล่ะ 200 บาท ไม่เป็นไร ค่อยขาย รายใหม่ เอามาชดเชย

แต่..มันไม่ได้อย่างที่คิดเสมอไป อย่างตอนหน้า “โลว์ซีซั่ นักท่องเที่ยวมีน้อย เคาเตอร์ทัวร์ ยังมีเท่าเดิม และยังมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ขายทัวร์ ได้แล้วเอาเงินมาใช้จ่ายก่อน พอถึงเวลาบริษัททัวร์ วางบิล ไม่มีให้เขา หลายบริษัทเข้า หลายครั้งเข้า รวมเงินเป็นแสน ทำยังไงละ ทีนี้ ..ปิดเคาเตอร์ หนีสิครับ พี่น้อง.. เบี้ยว มันทั้งค่าทัวร์, ค่าเช่าเคาเตอร์, ค่าน้ำ, ค่าไฟ เผลอๆ ค่าข้าวราดแกงร้านข้างๆด้วย ฮ้า..ฮ้า..

อีกปัญหา มาจาก พวกขาย “ทัวร์เถื่อน” เช่น แท็กซี่ป้ายดำ, รถตุ๊ก ตุ๊ก,มอเตอร์ไซต์รับจ้าง บริษัทไม่ได้ทำ contact กับพวกนี้ แต่ สำหรับโบรชัวร์ ของบริษัท พวกนี้ หาไม่ยาก พวกเขามีโบรชัวร์ ของบริษัทต่างๆ อย่างล่ะใบ สองใบ เขาก็หากินได้ พวกนี้ลดราคาแหลก ขายฝรั่ง คนล่ะ 1,000 บาท เขาหักใว้แล้ว 200 ที่เหลือบอกให้ฝรั่ง จ่ายที่ บริษัททัวร์ในวันทำทัวร์ จัดการโทรจองทัวร์ ให้เสร็จสรรพ บอกให้บริษัทเก็บเงินค่าทัวร์จากแขกด้วย เต็มที่

พอถึงวันทำทัวร์ บริษัทขอเก็บเงินจากแขกส่วนที่เหลือ แขกจ่ายมาคนล่ะ 800 และยืนยันว่าเขาตกลง ซื้อมาคนล่ะ 1,000 บาทและจ่ายไปแล้ว 200 ทำยังไงล่ะครับ ก็ต้องจำยอม พาเขาไป ไม่งั้น ฝรั่งโวย กลายเป็นหนังเรื่องยาว แน่ๆ นี่คือหนังตัวอย่างบางตอน

ยังมีอีก บริษัทหิมพานต์ทัวร์ ของผม ยังไม่หมด วิบากกรรม ยังมีบริษัทอื่น ที่ขายทัวร์ ประเภทเดียวกัน แต่ ทำ contact กับ เคาเตอร์ทัวร์ ในราคาที่ต่างกัน เช่น ขายคนล่ะ 2,000 บริษัท เอาแค่ 800 เคาเตอร์ ก็ลดได้เต็มที่ แล้วส่งให้ บริษัทนั้นเต็มที่ ฝรั่งนักท่องเที่ยว ได้ประโยชน์ เต็มๆ ผลปรากฏว่า บริษัท “หิมพานต์ทัวร์” ของผมเจ้ง เพราะไม่มีลูกค้า แล้วอีกไม่นาน บริษัทนั้นก็เจ๊งตามมา เพราะขาดทุน ทุกเที่ยว และเคาเตอร์ทัวเบี้ยวด้วย..

สรุปว่า ปัญหาส่วนใหญ่ มีตามที่ผมสาธยายมานี่แหละ ซึ่งก็แก้ยากมาก ตราบใด ที่คนยังมีความเห็นแก่ประโยชน์ ส่วนตนสูง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในอนาคต ความมีมาตรฐาน ทางด้านราคา ด้านบริการ และคุณภาพต่างๆ ของผู้ประกอบการ การท่องเที่ยว ในเขต อันดามัน ก็จะตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็ถึงกาลอวสาน พังพินาศยับเยินกว่า “สึนามิ” อย่างเทียบกันไม่ได้ทีเดียว.

----------------------------------------------------------------------------------------

คำร้องขอจากคนเป็นแม่


ได้เคยแจ้งเกี่ยวกับรถสองแถวผู้ขับรถสูบบุหรี่ในรถ ก็ขอความอนุเคราะห์ให้ท่านเป็นตัวแทนให้ด้วยค่ะ แจ้งให้หน่วยงานเกี่ยวข้องกับงานด้านนี้..เนื่องจากผู้โดยสาร โดยเฉพาะเด็กๆต้องไปโรงเรียนเป็นประจำ ผู้ขับขี่(เจ้าของรถ)ได้สูบบุหรี่ฃณะที่มีผู้โดยสารนั่งมาด้วยและผู้โดยสารบางคนเมื่อเห็นผู้ขับขี่สูบบุหรี่ได้ก็สูบด้วย เด็กๆก็ได้แต่มองไม่กล้าพูด ก็ขอความอนุเคราะห์ให้ท่านช่วยรณรงค์ห้ามสูบบุหรี่(อาจจะให้มีการติดสติกเกอร์ในรถ เพื่อสร้างความสำนึกให้กับคนขับและผู้โดยสารบางคน) โดยเฉพาะรถสองแถวสายถลางจะมีเป็นประจำ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบและขอความอนุเคราะห์

ผู้ปกครอง

ผมเปิด hotmail เมื่อ 6 โมงเช้าวันนี้ 26 มี.ค. (ตามปกติถ้าไม่นอนที่หาดลายัน) เห็น เมล์ จากท่านผู้ปกครอง ท่านนี้ ซึ่งผมไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่คน จึงยินดีที่จะเป็นสื่ออีกทางหนึ่ง

ปกติผมก็เป็นคนสูบบุหรี่น่ะครับ สูบมากด้วยและสูบมานานแล้วด้วย และไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะตอบใครได้ว่า ทำไมไม่เลิก.!?

แต่ ผมพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่น เดือดร้อน กับการสูบบุหรี่ของผมอย่างที่สุด ตามที่ท่านผู้ปกครอง บอกมาว่า ขอให้ช่วยกันมีจิตสำนึกหน่อยว่า ท่านจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อน จะได้หรือไม? ท่านไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ ขอให้เลิกสูบบุหรี่น่ะครับ

เพราะฉะนั้น เราๆ ท่านๆ ที่โตแล้ว และเป็นคนไทยทั้งหลาย ช่วยๆกันหน่อยน่ะครับ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น บนความพอใจของตัวเอง อย่างที่เห็น เยิ้วๆ กันอยู่นั่น มันเป็นความเห็นแก่ตัวล้วนๆครับ

ท่านผู้ปกครองครับ.! ที่ท่านบอกว่า คนขับรถกับคนโดยสารบางคน บนรถสายถลาง ช่วยกันสูบบุหรี่ ขณะที่มีคนโดยสารและเด็กๆอยู่บนรถนั้น ผมคิดว่า สองคนนั้นคงไม่ใช่คนไทยครับ เขาคงเป็นคนต่างชาติ ที่เข้ามาอาศัยทำมาหากิน เหมือนๆกับอีกหลายหมื่นคนที่มีอยู่ในภูเก็ตเวลานี้ พวกนั้นไม่มีจิตสำนึกหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่คนไทย !

-----------------------------------------------------------------------------------------