วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อ “นาซา” มาขอใช้ สนามบินอู่ตะเภา อดีตฐานบิน บี-52


ย้อนอดีตสนามบินอู่ตะเภาฐานบิน บี-52 เมื่อ นาซาสหรัฐอเมริกามาขอใช้ แต่นั่น มันไม่ใช่..
ย้อนอดีตสนามบินอู่ตะเภาฐานบิน บี-52 กับสงครามในภูมิภาคเอเชีย ที่ลาว เขมร และ เวียดนามเหนือ ที่ผ่านมานาน 36 ปี ในมุมมองของอดีตนักล่ายุงก้นปล่องนำเชื้อไข้มาลาเรีย ที่ทางทหารอเมริกันยังต้องหวั่นเกรง เตือนคนไทยอย่าประมาท คนหน้าเหลี่ยมเป็นอันขาด อย่าหลงประเด็น สับขาหลอกทุกข่าว เพราะนั่น มันไม่ใช่..
      
       พลันที่สนามบินอู่ตะเภาฐานบินอันเกรียงไกร ที่กองทัพสหรัฐอเมริกามาสร้างไว้ เมื่อถอนทหารแล้วก็ยกให้ทางการไทย ได้ตกเป็นข่าวใหญ่ดังไปทั่วโลก แต่บัดนี้รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้อเมริกันใช้โดยองค์การนาซา จะมาตั้งศูนย์ตรวจพื้นที่เก็บตัวอย่างตรวจสารพิษต่างๆ ที่ปนเปื้อนในชั้นบรรยากาศ อดีตต่างๆ ที่อยู่ในความทรงจำก็พรั่งพรูออกมา นั่นนานกว่า 47 ปีแล้ว ที่สนามบินนี้ได้รับการอนุมัติ จากจอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะ ปฏิวัติ ให้สร้างได้ปี พ.ศ.2508 เสร็จในปี พ.ศ.2509 และประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายริชาร์ด นิกสัน สั่งการให้เครื่องบิน บี-52 บินขึ้นจากฐานบินอู่ตะเภา ปี พ.ศ.2515 หรือ ค.ศ.1972 บินขึ้นไปถล่มเวียดนามเหนือชนิดปูพรมที่ กรุงฮานอย
      
       ข้อมูลเดิมสนามบินอู่ตะเภานี้มีอยู่ตัวสนามบินถูกสร้างบนพื้นที่ 20,000 ไร่ ตำบลพลา ต.บ้านฉาง อ.เมือง จ.ระยอง Run Way มีความยาว 11,500 ฟุต มีลานจอดเครื่องบิน 4 แห่ง แต่ละแห่งใหญ่ 190,000 ตารางหลา มีถังเก็บน้ำมัน 9 ถังๆ ละ 180,000 ลิตร เป็นที่จอดเครื่อง บิน KC-135 เครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศ เครื่องบินสอดแนม U-2 ซึ่งเป็นเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลระยะไกลของทหารเรือสหรัฐฯ และเป็นที่จอดของเครื่องบิน B-52 จำนวนถึง500 ลำ มีโรงเก็บเครื่องบินและอื่นๆ

       นอกนั้นเป็นที่รับรู้กันว่าพื้นที่สนามบินในส่วนที่ไม่ใช่รันเวย์ นั้น เป็นส่วนสำนักงานอาคารอื่นๆทางการทหารแต่เดิมส่วนด้านสั่งการอยู่ในพื้นที่ ของจังหวัดชลบุรี ตรงนั้นมีลำคลองไม่ใหญ่โตนักชื่อคลองอู่ตะเภา อยู่เขตอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี ขณะสร้างสนามบิน U-TAPAO ซึ่งทหารอเมริกันใช้ทำสงครามในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ โดยมีประเทศเวียดนามเหนือ กับพื้นที่ประเทศลาว ประเทศเขมรบางส่วน เป็นเป้าหมาย ในยุคที่มีทหารอเมริกันมาอยู่กันเป็นหมื่นคนพร้อมเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 ภายหลังบ้านฉางถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นอำเภอ
      
       อดีตของสนามบินอู่ตะเภา ที่กองทัพทหารอเมริกันสร้างไว้ใช้ทำสงครามในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะทำสงครามกับประเทศเวียดนามเหนือ เริ่มที่นักบินอเมริกันนำฝูงบิน บี-52 บินไปทิ้งระเบิดปูพรมตัดเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยต่างๆ ที่สมรภูมิสงครามอยู่ในประเทศลาว ประเทศเขมร เส้นทางยุทธปัจจัยส่งเสบียงลำเลียงไปสู่ประเทศเวียดนามเหนือ
      
       การสร้างสนามบินอู่ตะเภานั้นทหารช่างสหรัฐฯต้องระเบิดภูเขาในเขต สัตหีบบริเวณกิโลเมตรที่ 10 นับสิบๆ ลูก แล้วย่อยหินให้ได้ตามขนาดที่ต้องการนำไปถมลงดินเพื่อสร้างสนามบิน การก่อสร้างได้เร่งทำงานแบบ 24 ชั่วโมง เสียงระเบิดภูเขาลูกใหญ่เพื่อเอาหินดังกึกก้อง เสียงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งกันขนหินกันเป็นที่อึกทึกครึกโครม แล้วยังสร้างทางสาย 331 จากสัตหีบตัดผ่านไปยังอำเภอปักธงไชย จ.นครราชสีมา เป็นถนนสายยุทธศาสตร์เชื่อมสนามบินอู่ตะเภากับฐานบินต่างๆ
      
       เชื่อมกับถนนสายอื่นๆ จากท่าเรือจุกเสม็ดย่านจอดเรือรบ เรือดำน้ำ กับท่าเรือหาด ส.หรือท่าเรือทุ่งโปรง อันเป็นท่าเรือขนถ่ายลำเลียงยุทธปัจจัยยุทธภัณฑ์ สิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกทหาร จี.ไอ.มีความพร้อมทุกด้าน เรือลำใหญ่มีน้ำหนักบรรทุกมากๆ จอดได้สะดวก ถนนยุทธศาสตร์สาย 331 นี้ สร้างมาอายุกว่า 47 ปี พอๆ กับสนามบินอู่ตะเภา ยังใช้การได้ดีถึงวันนี้
      
       แม้ในการทำสงครามรบพุ่งในสมรภูมิเวียดนามเหนือนั้น ถึงฝ่ายอเมริกันจะใช้อาวุธใหม่ๆ มีอานุภาพทำลายล้างได้ครั้งละมากๆ แต่ไม่อาจเอาชนะจิตใจจิตวิญญาณประชาชนชาวเวียดนามเหนือ ที่เป็นนักต่อสู้ ผู้กล้าหาญ มีน้ำใจเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ ทำให้ต่อมารัฐบาลอเมริกัน ซึ่งทนต่อแรงกดดันภายในประเทศไม่ได้ จากการชุมนุมเดินขบวนของประชาชนชาวสหรัฐอเมริกา ประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในอเมริกาเดือนเมษายน ปี 2514
      
       รัฐบาลอเมริกันจึงเริ่มค่อยๆ ถอนทหาร จี.ไอ.ออกไปจากเวียดนามใต้ ด้วยแรงกดดันนั้นที่มาจากประชาชนชาวอเมริกัน มาจากบิดามารดาญาติพี่น้องลูกเมียของบรรดาทหารอเมริกันและทหารอเมริกัน ทั้งที่เป็นผู้พิการจากสงคราม และจากญาติๆ ของทหารผู้เสียชีวิตกว่าห้าหมื่นคนเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในสงครามเวียดนาม ซึ่งสงครามเวียดนามนั้นครั้งนั้น มีคนตายมากกว่า 900,000 ชีวิตขึ้นไปถึงเป็นล้านคน
      
       บังเอิญก่อนมามีอาชีพผู้สื่อข่าว ได้ทำงานเป็นลูกจ้างหน่วยวิจัยทางการแพทย์ขององค์กรซีโตวิจัยยุงก้นปล่องนำ เชื้อไข้มาลาเรีย ช่วงพฤษภาคมปี 1963 จนถึงปี ค.ศ.1965 (ราวปี 2506-2508) พอดีกับเส้นทางที่สำรวจเรื่องไข้มาลาเรียนั้น โครงการวิจัยนี้มีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยเป็นเป็นหัวหน้าทีมวิจัย ทั้งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการสร้างสนามบินอู่ตะเภาถึง 3 ปี
      
       เมื่อมาเป็นผู้สื่อข่าวจึงต่อ จิ๊กซอว์เรียงภาพมาได้ ว่า...อันที่จริงทางสหรัฐอเมริกานั้นเป็นห่วงใยพวกทหารจี.ไอ.มาก จึงเข้ามาวิจัยเรื่องโรคเมืองร้อน รวมทั้งไข้มาลาเรีย หรือไข้จับสั่นนี้ ถึง 3 ปีล่วงหน้า อาจเป็นไปได้แน่ๆ ว่า ได้นำผลงานวิจัยนี้นำใช้ป้องกันชีวิตทหาร จี.ไอ.เอาผลวิจัยไปผลิตยารักษาไข้-ป้องกันไข้มาลาเรีย ให้พวกทหาร จี.ไอ.ที่ไปสู้รบกับพวกเวียดนามเหนืออยู่ในสมรภูมิเวียดนาม เนื่องมาจากเป็นป่าเมืองร้อนแถบภูมิภาคเอเชียเช่นเดียวกับไทย และตระกูลยุงก้นปล่อง ชนิดที่สามารถนำเชื้อไข้มาลาเรียต่างๆ ก็คล้ายคลึงกัน ส่วนเชื้อไข้มาลาเรียในตัวคนเมื่อเจาะเลือดมาตรวจแล้วก็คล้ายคลึงกันที่มี ทั้งเชื้อเก่าประเภท ไวเว็กซ์และเชื้อไข้มาลาเรียที่คนถูกยุงก้นปล่องกัดแล้วเป็นไข้ครั้งแรกเป็นเชื้อ ใหม่ชนิด ฟัลซิฟารั่มก็ไม่แตกต่างกัน
      
       จึงขอนำบางภาพครั้งทำงานที่สถานีวิจัยไข้มาลาเรียของฝ่ายอเมริกัน แห่งศูนย์วิจัยทางการแพทย์ องค์การ ส.ป.อ.หรือ “SEATO-MEDICAL RESEARCH LABORATORY.” มาลงประกอบเรื่องบางภาพเท่านั้น เป็นภาพการจับยุงในป่ายามค่ำคืน ภาพการมาดูงานของนายทหารอเมริกันผู้เชี่ยวทางการแพทย์อเมริกันทั้งในบริเวณ ในป่า และดูงานที่ตั้งแคมป์วิจัย ซึ่งสถานีวิจัยเป็นแคมป์ที่พักคล้ายๆ กับทหารอเมริกัน ใช้เป็นที่ทำงาน 1 หลัง เป็นที่พัก 1 หลัง ที่ใช้เลี้ยงยุงก้นปล่องอีก 1 หลัง รวม 3 หลัง ทีมวิจัยนี้ได้ออกไปสำรวจจับยุงก้นปล่อง ลูกน้ำของยุงก้นปล่อง ตามที่แหล่งที่มีไข้มาลาเรียชุกชุมตามสถานที่ต่างๆ ในป่า หรือชายทะเลเขตระยอง-ชลบุรี บางครั้งก็ไปภาคอีสาน
      
       ทีมวิจัยนี้ครั้งหนึ่งได้สร้างสถิติโลกด้วยการจับยุงก้นปล่องคืนเดียวได้มากกว่าสองพันตัว ทีมวิจัยนี้ยังผ่ายุงพบเชื้อไข้มาลาเรียในกะเพาะยุงที่เรียกว่า สโปโรซอยของยุงสเปซี่ มินิมัสกับ ลิวคอสไฟลัสยุงชนิดหลังนี้เหมือนเครื่องบิน บี-52 ตัวมันโตกว่าเจ้ายุงชนิด มินิมัสซึ่งเป็นยุงตัวเล็กกว่า พอเวลามันบินเข้ามาเกาะข้างฝาขนำไร่ หรือตามใบมันสำปะหลังใช้ไฟฉายส่องดูจะรู้ได้ทันที เพราะมันมีปล้องสีขาวเป็นจุดใหญ่ระหว่างช่วงข้อต่อโคนขาของมัน ภาพที่เคยจับยุงชนิดนี้ยังอยู่ในความทรงจำมาถึงขณะนี้
      
       ทีมวิจัยยังไปพบ ยุงตระกูล ซันไดคัสอีก 1 ชนิด เป็นยุงเกิดจากน้ำเค็มผสมน้ำกร่อย ที่แพร่เชื้อไข้มาลาเรียจากคนป่วยจากการไปบุกป่าถางพงเพื่อปลูกสวนทุเรียน สวนเงาะ ที่หมู่บ้านชากมะกรูด ต.บ้านกร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง บ้านเกิดของบิดาสุนทรภู่อยู่ใกล้ชายหาดแหลมแม่พิมพ์ พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากถูกยุงก้นปล่องชนิดนี้กัดเวลามันดูดเลือดจึงแพร่ เชื้อสู่คน เมื่อผ่ายุงผ่าต่อมน้ำลายยุงกับที่กระเพาะยุงแล้วใช้กล้องจุลทัศน์ส่อง จึงพบเชื้อดังกล่าว เมื่อพบเชื้อสดจึงเก็บไว้เป็นตัวอย่างกรรมวิธีการเก็บคือย้อมสีเก็บไว้ใน สไลด์ (กระจกที่ใช้ในห้องตรวจแล็บ)
      
       ทีมวิจัยได้เลี้ยงสัตว์หลายชนิดจำพวกลิง หนู กระรอก กระถิก หรือ พวกสัตว์ปีกเช่น ตัวบ่างที่ต้อง ตอกทอยเป็นบันไดปีนต้นไม้ใหญ่ขึ้นไปขัดห้างเพื่อจะจับสัตว์จำพวก บ่างที่ซุกตัวอยู่ในโพรงไม้สูง นำตัวมาเจาะเลือดแล้วเอามันมาตรวจหาเชื้อไข้มาลาเรีย กับ เจาะเลือดสัตว์ที่เลี้ยงไว้มาตรวจทุกวันแต่ไม่พบเชื้อไข้มาลาเรียในเลือด สัตว์เหล่านั้น แต่ทีมวิจัยพิสูจน์ได้ว่ามียุงก้นปล่องนำเชื้อไข้มาลาเรียมาสู่คน แล้วแพร่เชื้อจากคนป่วยไข้ไปสู่คนดีไม่ป่วยได้อีกมี 2 ชนิด มีต้นกำเนิดอยู่อาศัยในป่าทึบตามลำธารน้ำไหลที่สะอาด รวมเป็น 3 ชนิดด้วยกัน
      
       ทีมวิจัยพบว่า ยุงก้นปล่องจะมีวงจรชีวิตอยู่ได้ยาวนาน ต้องเลี้ยงด้วยเลือดคน จึงขอเป็นอาสาสมัครเลี้ยงยุงด้วยวิธีให้เลือดจากตัวเองให้พวกมันกิน วิธีนี้เสี่ยงตายถึงชีวิต แต่ทำให้ยุงก้นปล่องมีชีวิตยาวเพื่อการวิจัย จึงเสี่ยงตายและป่วยเป็นไข้มาลาเรียอยู่นานหลายปี รักษาด้วยยาฝรั่งชนิดใดก็ไม่หายขาด จึงกินยา ควินนินยาดั้งเดิมชนิดเม็ดมีรสขมมากๆ หายป่วยมาทุกวันนี้ ส่วนชีวิตของนักวิจัย-ผลวิจัยยุงก้นปล่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับไข้มาลาเรีย หากมีโอกาสจะเขียนถึง
      
       ครั้นอเมริกันพ่ายสงครามเวียดนามภายหลังไปทำข้อตกลงสันติภาพปารีส เมื่อ 27 มกราคมปี 2516 ที่กรุงปารีส และเริ่มถอนทหาร จี.ไอ.ทำให้กำลังทหารของพวกฝ่ายเวียตนามใต้ที่อยู่ในนครไซ่ง่อนระส่ำระสาย ที่สุดกองกำลังกู้ชาติฝ่ายเวียดนามเหนือ ก็เป็นฝ่ายรุกไล่เข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ เมื่อ 30 เมษายนปี 2518 รถถังคันแรกของฝ่ายเวียดนามเหนือขยี้ประตูทำเนียบรัฐบาลเวียดนามใต้ หลังจากยึดครองปลดปล่อยได้แล้ว ประธานาธิบดี ฟามวันดุง แห่งเวียดนามเหนือ ได้ประกาศรวมเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ เปลี่ยนชื่อไซ่ง่อนเป็นโฮจิมินห์ซิตี้นั่นเป็นเวลาภายหลังเกือบ 2 ปี ที่รัฐบาลคณะปฏิวัติของจอมพล ถนอม กิติขจร ต้องหลุดจากอำนาจที่มีล้นฟ้าหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516 มาถึงปี 2518
      
       นายพลอากาศเอก เหงียนเกากี อดีตแม่ทัพอากาศเวียตนามใต้ ที่ขับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์พาพรรคพวกหลายชีวิตไปร่อนลงที่เรือรบของ ฝ่ายอเมริกัน ลี้ภัยจากเวียดนามใต้ ไปเขียนบันทึกความพ่ายแพ้ของฝ่ายเวียตนามใต้ไว้ ขณะใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อบันทึก “Twenty Years And Twenty Days” บอกเล่าประสบการณ์ที่กรำศึกสงครามจนมาถึงบทสุดท้ายแห่งความพ่ายแพ้ ซึ่ง นายพินิจ พงษ์สวัสดิ์ อดีตนักข่าวเดลินิวส์เพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาก ไปได้ต้นฉบับมาจากสหรัฐอเมริกา จึงแปลโดยให้ชื่อไทยว่า สิ้นชาติใช้นามปาก พงษ์ พินิจ หนังสือนี้ขายดีมากในยุคนั้น
      
       สงครามที่มีฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายมีชัย ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์กับเหล่าสาวกเบิกบาน ทุกประเทศต่างกลัวว่าทฤษฎีโดมิโนจะลามเข้ายังประเทศไทย แต่ที่ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น เพราะประเทศไทยมี หลักชัยอยู่ที่ศูนย์รวมดวงใจของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ อีกทั้งผู้ปกครองไทยนักการเมืองไทย นักการทหารไทย ข้าราชการน้ำดีไทย บรรดาผู้ทรงความรู้ทรงคุณวุฒิของไทยขณะนั้น กับประชาชนผู้รักชาติไทย รักสถาบันกษัตริย์ รวมพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประเทศไทยจึงรอดทฤษฎีโดมิโนและลัทธิคอมมิวนิสต์เบ่งบานเติบโตในไทยไม่ได้
      
       ครั้นเมื่อนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เดินทางจากประเทศไทยวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2518 ไปเมืองจีน วันที่ 1กรกฎาคม ได้พบกับบุคคลสำคัญ เช่น นายจูเอินไล นายกรัฐมนตรี ได้พบกับประธาน เหมาเจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ผู้มีอำนาจสูงสุด การได้พบกับท่านประธานเหมาเจ๋อตุง จับมือเขย่ามือกันเป็นข่าวใหญ่ จากวันนั้นมาทำให้สถานการณ์ของประเทศไทยดีขึ้น พวกคอมมิวนิสต์ไทยอ่อนกำลังลง ทฤษฎี โดมิโนจึงมิได้เกิดกับประเทศไทย
      
       ทางด้านรัฐบาลเวียตนามใต้ ก่อนล่มสลายสิ้นชาตินั้น มีปัญหาคอร์รัปชันโกงบ้านโกงกินเมือง กระทั่งมีพระผู้นำทางศาสนาทางจิตวิญญาณจุดไฟเผาตัวตายประท้วง แต่ผู้นำรัฐบาลเวียดนามใต้กับเมียและญาติๆ ไม่ว่าใครจะผลัดกันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีครองอำนาจ เมื่อมีอำนาจก็เอาแต่โกงกินแบบสะบั้นหั่นแหลกทุกรูปแบบ ทั้งนักการเมือง นักการทหาร ข้าราชการหลายระดับ ไม่ว่าฝ่ายอเมริกันจะสนับสนุนส่งเงินส่งทองส่งเสบียงอาหารหรือยุทธปัจจัย อย่างไรก็ตาม
      
       รัฐบาลฝ่ายเวียดนามใต้ ที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้นั้น เพราะเรื่องของคอร์รัปชันทำลายชาติ ทำลายประชาธิปไตย ทำลายตัวเอง ไม่ดูแลทุกข์สุขปากท้องของประชาชน ต่างหลงระเริงต่ออำนาจมากเกินไป และผู้มีอำนาจนั้นๆ ได้ตั้งกองกำลังตำรวจลับขึ้น ใช้ปืนจ่อหัวฆ่าประชาชนชาวเวียดนามด้วยกันกลางถนนหนทางกลางวันแสกๆ จึงไม่สามารถต่อสู้กับกองทัพประชาชนผู้รักชาติชาวเวียดนามเหนือได้
      
       แล้ววันนี้สนามบินอู่ตะเภาตกเป็นข่าวใหญ่ เมื่อทางอเมริกัน จะหวนกลับมาขอใช้สนามบินนี้อีกครั้ง หลังจากที่ถอนทหารไปในปี พ.ศ.2519 เป็นเวลานานถึง 36 ปี โดยทางนาซาจะตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือภัยพิบัติบินสำรวจมลพิษในชั้นบรรยากาศ อะไรก็ตาม อ้างเหตุผล 3ประการที่ต้องใช้สนามบินอู่ตะเภานั้น ว่า 1.ดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่บริเวณศรีราชา จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน 2.การสำรวจฝุ่นละอองเมฆส่วนใหญ่จะสำรวจนั่นมีที่อยู่บริเวณทะเล 3.การใช้เครื่องบินจำเป็นต้องใช้ทางวิ่งที่ยาวมาก จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา เพราะเป็นเครื่องบิน ดีซี-8” ดัดแปลงนำมาใช้เปลี่ยนเป็นเครื่องมือและเครื่องวัดต่างๆ
      
       ส่วนข้อที่ 1.นั้นเป็นการพูดไม่หมดเปลือกทำให้ประชาชนเกิดความงุนงง ว่า อันดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่บริเวณศรีราชาที่ว่านั้นคืออะไร ข้อเท็จจริงนั้นเป็นสถานีควบคุมดาวเทียมที่ทันสมัยขึ้นตรงต่อของสำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์ รับสัญญาณภาพจากดาวเทียม “THEOS” ที่สามารถถ่ายภาพกว้างใหญ่ไม่เกิน 2 เมตรจากภาคพื้นดินได้ หากไม่มีอะไรบัง ถ่ายภาพไฟไหม้ป่า หรือพวกกระบวนการตั้งโรงงานค้ายาเสพติด ภาพแผนที่ด้านผลผลิตทางการเกษตรเอาไปประเมินและอื่นๆแบบที่ กูเกิลถ่ายภาพนั้นเอง หรือจะเป็นภาพถ่ายเกี่ยวกับความมั่นคง สำนักงานนี้อยู่ที่ ม.9 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
      
       ดังนั้น เรื่องที่มีรัฐมนตรีคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ดูเก๋ไก๋ ว่า มีดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่ใกล้บริเวณศรีราชาจึงเป็นการพูดแบบสับขาหลอก ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ดังเช่น ท่าเรือแหลมฉบัง อ.บางละมุง แทนที่จะเป็นอำเภอศรีราชา จึงจะถูกต้อง อันนี้เนื่องมาจากเขตท่าเรือที่กำลังจะขยายเฟสใหม่ เป็นส่วนต่อจากที่เก่า และมีสำนักงานบางหน่วยราชการอยู่ในเขต ต.บางละมุง อ.บางละมุงตรงปากคลองบางละมุง จึงเหมารวมกันไป ในข่าวเรื่องผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าอำมาตย์มาตรวจราชการท่าเรือแหลมฉบังอำเภอ บางละมุง จึงมีที่มาดังนี้แล
      
       ทั้งหมดนี้มีที่มาจากพวก สับขาหลอกออกข่าวให้ประชาชนยิ่งงุนงงสับสนเท่าไหร่ยิ่งดี ดั่งเช่น จังหวัดหาดใหญ่และอื่นๆ จะได้สะใจของมนุษย์สเปโตพวกนี้ มนุษย์ที่ตกเป็นข้าทาสรับใช้ คนหน้าเหลี่ยมกับผู้หญิงหัวหน้าอำมาตย์ประชาชนก็จะได้ลืมเรื่องที่หาเสียงไว้ว่าจะลดราคาค่าน้ำมันพลังงานกับลดค่า ครองชีพลงมาให้มากๆ ไง เอามั้ยค้า.. เอามั้ยค้าแล้วจะไปเอากับใครล่ะก็พวก คุณมีอำนาจยังไม่ลดราคาแล้วใครหน้าไหนจะไปลดได้
      
       จึงไม่รู้ว่าพวกที่สับขาหลอกออกข่าวนั้น เป็นพวก ง่าวหรือ จั๊ดง่าวหรือพวก วอกกันแน่ หรือเป็นพวก ล๊วกพวก ฉลาดหรือพวก อวดล๊วก” “อวดฉลาดก็ไม่มีใครคาดคิดถึงได้ หรือเป็นพวกฉลาดแต่โกงหรือ โคตรโกงแต่ฉลาดกันแน่ นี่เป็นความสับสนของประชาชนชาวไทย ข่าวหลอกจึงเป็นข่าวจริงข่าวจริงจึงเป็นข่าวหลอก เกิดความสับสนกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง
      
       นอกจากสถานีรับสัญญาณภาพถ่ายจากดาวเทียม “THEOS” แล้ว ..ยังมีสถานีรับสัญญาณสื่อสารจากดาวเทียมที่ไปขึ้นตรงกับการสื่อสารแห่ง ประเทศไทยไปสังกัดกับอีกกระทรวงหนึ่ง ที่พื้นที่ตรงติดๆ กันนั้น ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่รับสัญญาณสื่อสารถ่ายทอดสด ครั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งยานอพอลโล ส่งมนุษย์อวกาศไปเหยียบดวงจันทร์ ถ่ายทอดสดให้ประชาชนในภูมิภาคเอเชียได้ชมกันรวมทั้งชาวไทยด้วย นี่..เป็นข้อมูลที่พูดอะไรก็พูดไม่หมดเปลือกของรัฐมนตรีลายเสือคนหนึ่ง พูดเสียเก๋ไก๋ว่า ดาวเทียมยุทธศาสตร์นั้นแหละ
      
       ส่วนจะมีรัฐมนตรีการต่างประเทศคนใดในประเทศนี้ จะไปมีการทำสัญญาอะไรกันไว้ ก็ไม่มีใครรู้ข้อมูลเชิงลึก ว่าจะมีหรือไม่อย่างไร แต่ถ้าทางฝ่ายอเมริกันขอใช้ทุกอย่างทั้งสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือยุทธศาสตร์ทั้ง2แห่งมีความพร้อมมาก เป็น ยุทธภูมิที่สำคัญต่อภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ทั้งหมด สนามบินอู่ตะเภานี้นั้นไม่ธรรมดา สร้างมาแต่ปี 2508 แล้ว นานจนถึงปี 2555 เข้า 47 ปี ยังใช้การได้ดีกว่าสนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างขึ้นใหม่ๆ ด้วยเงินหลายแสนล้านบัดนี้ รันเวย์บางแห่งพังต้องปิดซ่อม หากน้ำท่วม กทม.อีกและน้ำซึมไหลไปชั้นใต้ดินก็จะมีอันพังพาบเป็นแน่
      
       ดังนั้น ในมุมมองของอดีตนักล่ายุงนักจับยุงก้นปล่องมาเป็นเวลา 3 ปีก่อนหน้าที่จะมีการสร้างสนามบินอู่ตะเภา คงบอกได้เพียงว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศมหาอำนาจ คงไม่ได้ทำอะไรโดยไม่วางแผนต่างๆ ไว้ล่วงหน้า ถ้าหากจะมาใช้สนามบินอู่ตะเภาจริงๆ มิใช่ที่ องค์การนาซามาขอใช้ชั่วคราว ขนาดโรคไข้มาลาเรีย หรือไข้จับสั่น ยังหาทางป้องกันล่วงหน้าให้ทหาร จี.ไอ.หวั่นเกรงว่า จะมาเสียชีวิตตายไปด้วยโรคไข้ชนิดนี้ในสมรภูมิเวียดนามหรือในประเทศไทย จึงได้หาทางป้องกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ ทุ่มเงินทำการวิจัย ผ่านองค์การ ส.ป.อ.(สนธิสัญญาป้องเอเชียอาคเนย์)
      
       เช่นนี้แล้วการมาขอใช้สนามบินอู่ตะเภารอบใหม่ จะแบบถาวรหรือไม่ถาวรนั้น มันไม่ใช่..แม้อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับมนุษย์ชาติหรือไม่ดี เรื่องใหญ่ๆ เช่นนี้ ถ้าเป็นประโยชน์จริงๆ ต้องว่ากันให้กระจ่างต่อสายตาชาวโลกทำตามกฎกติกา แต่หากเข้ามาเพื่อเบ่งกล้ามกับบรรดามิตรประเทศในเอเชียอาคเนย์ เพื่อคุ้มครองแหล่งทรัพยากรพลังงานในท้องทะเล ในคาบมหาสมุทรต่างๆ แล้ว ย่อมต้องสะเทือนไปถึงมิตรภาพอันดีของประเทศไทยกับประเทศจีน อินเดียและอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้ อย่างหลีกหนีไปไม่พ้น
      
       บัดนี้มีข่าวเชิงลึกว่าก่อนหน้าจะมีข่าวนี้ คนหน้าเหลี่ยมบินไปที่สิงค์โปร์ และได้เจรจากับนายทหารอเมริกันยศใหญ่โตด้วยตัวเอง แต่ไม่มีข่าวข่าวออกมา แหล่งข่าวกล่าวว่าแม้แต่ตัวนายทหารระดับรัฐมนตรีคุมทหาร ยังไม่รู้เรื่องการเจรจาของคนหน้าเหลี่ยมว่า เจรจากันด้วยเรื่องอันใด แต่ไม่ว่าเรื่อง สนามบินอู่ตะเภานี้ เรื่องการมาสำรวจวิจัยขององค์การนาซานั้น คนไทยผู้รักชาติอย่าได้ประมาทไปในสถานการณ์ต่อไปนี้ที่จะเป็นจริงขึ้น เพราะนี่เป็นสัญญาณเดินหน้าของ คนหน้าเหลี่ยมที่จะเปลี่ยนประเด็นการต่อสู้ยกใหม่
      
       สำหรับเรื่ององค์การนาซามาขอให้สนามบินอู่ตะเภานี้ เดิมมีที่มาจากรัฐมนตรีคนหนึ่งของพรรคดีแต่พูด แล้วมาต่อยอดโดยรัฐมนตรีพรรคเผาไทย ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น และต่อไปนี้เป็นความเห็นของคนไทยรักชาติหลายคนๆ หนึ่งบอกอย่างมีเหตุผลด้วยตรรกะ-วิธีคิดที่เป็นจริงว่า ขอให้คนไทยได้ระวัง หากมีการเปิดสภาเป็นวาระด่วนก็ดี หรือท่ามกลางการโต้เถียงด่ากันไปมาของ2พรรคการเมืองที่ล้วนเป็นพวกอัปรีย์ไป กับพวก จังไรมานั้น ต่างเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ผู้อื่น ทำให้เกิดความสับสนไม่รู้จะเชื่อใครดี
      
       ขอได้โปรดระวังให้ดี หากเปิดสภาเมื่อไหร่ คนพวกนั้นจะเอาเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ค้างเติ่งอยู่เข้าสภาใช้เสียง ข้างมากลากกันไป ด้วยคนการเมืองยุคใหม่ รวมทั้งพวกข้าทาสบริวารรับใช้ มิใช่โง่หรือ โคตรโง่แต่กลับเป็นพวก ฉลาดและ โคตรฉลาดมากกว่า จงได้ประมาทหลงทางตามที่พวกเขาปล่อยข่าวในแต่ละวันรวมทั้ง คนตาเหล่คนนั้นด้วยซึ่งปราชญ์บอกไว้ว่า คนโบราณสอนว่า คนตาเข ตาเหล่ ตาส่อนโดยกำเนิดนั้นคบไม่ได้ คบแล้วเป็นภัยให้โทษ เพราะเป็นคนเจ้าเล่ห์มารยาสาไถยใครเคยพิสูจน์คำสอนนี้แล้วหรือยัง คนโบราณท่านค้นคว้า หาเหตุผลอะไรมาตั้งเป็นทฤษฎี จึงกล้าชี้ชัดอย่างนี้ใครตอบคำถามคนโบราณได้ ?
      
       วันนี้โลกแห่งการสื่อสารการข่าวหมุนเร็วผู้คนตามไม่ทัน จงอย่าได้ประมาท คนหน้าเหลี่ยมเป็นเด็ดขาด ดังนั้น หากไม่มีอะไรแอบแฝงเรื่องนาซ่ากับการทหารอเมริกันมาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ขอให้นำวาระนี้เข้าสภาว่ากันแบบเปิดเผย แต่..แต่กรุณาอย่าได้นำพ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภาเป็นเด็ดขาดแล้วกัน เพราะนั่นมันไม่ใช่.. โปรดระวัง
      
       ........................................
       โดย ไทย เอกราช
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ทั่วไป กรุณาใช้คำสุภาพ