คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
วันนี้ผมจะไม่พูดหรือเขียนถึงเรื่อง “คาร์บอมบ์” ที่ศูนย์การค้าลี การ์เดนส์ พลาซ่า ว่าเกิดจาก “แนวร่วม” คนไหนของ “บีอาร์เอ็นฯ” และจะไม่พูดถึงความผิดพลาด ความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ เพราะผมยิ่งพูด ยิ่งเห็น ยิ่งเหนื่อยใจกับเจ้าหน้าที่เกือบทุกหน่วยที่ไม่เคยเอาจริงกับการแก้ปัญหา การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด
เพราะทุกหน่วยไม่ว่าตำรวจ ทหาร ปกครอง ต่างมีวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้น คำว่า “บูรณาการ” ซึ่งแปลว่าการร่วมกันทำหน้าที่เพื่อไปสู่ “เอกภาพ” ซึ่งหมายถึงเป็น “หนึ่งเดียว” เพื่อเดินไปในทิศทางเดียวกัน ร้องเพลงเดียวกันโดยไม่ผิดคีย์ จึงเป็นเพียงคำพูดลมๆ แล้งๆ ของบรรดาเสนาบดี แม่ทัพนายกอง และ ผบ.ทบ.เท่านั้น เพราะความเป็นจริงในเรื่องนี้ 8 ปีไม่เคยเห็นผล
แต่วันนี้ผมจะบอกว่า ถ้าผมเป็นโจร หรือเป็นพวก “แบ่งแยกดินแดน” ผมคงนอนหัวเราะให้ “สะดือบาน” กับความ “ฟอนเฟะ” ความแตกแยก และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในประเด็นนโยบายในการแก้ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
วันนี้ผมจะไม่พูดหรือเขียนถึงเรื่อง “คาร์บอมบ์” ที่ศูนย์การค้าลี การ์เดนส์ พลาซ่า ว่าเกิดจาก “แนวร่วม” คนไหนของ “บีอาร์เอ็นฯ” และจะไม่พูดถึงความผิดพลาด ความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ เพราะผมยิ่งพูด ยิ่งเห็น ยิ่งเหนื่อยใจกับเจ้าหน้าที่เกือบทุกหน่วยที่ไม่เคยเอาจริงกับการแก้ปัญหา การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด
เพราะทุกหน่วยไม่ว่าตำรวจ ทหาร ปกครอง ต่างมีวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้น คำว่า “บูรณาการ” ซึ่งแปลว่าการร่วมกันทำหน้าที่เพื่อไปสู่ “เอกภาพ” ซึ่งหมายถึงเป็น “หนึ่งเดียว” เพื่อเดินไปในทิศทางเดียวกัน ร้องเพลงเดียวกันโดยไม่ผิดคีย์ จึงเป็นเพียงคำพูดลมๆ แล้งๆ ของบรรดาเสนาบดี แม่ทัพนายกอง และ ผบ.ทบ.เท่านั้น เพราะความเป็นจริงในเรื่องนี้ 8 ปีไม่เคยเห็นผล
แต่วันนี้ผมจะบอกว่า ถ้าผมเป็นโจร หรือเป็นพวก “แบ่งแยกดินแดน” ผมคงนอนหัวเราะให้ “สะดือบาน” กับความ “ฟอนเฟะ” ความแตกแยก และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในประเด็นนโยบายในการแก้ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
จะไม่ให้โจรมันหัวเราะจน “สะดือบาน” ได้อย่างไร ในเมื่อฝุ่นจากคาร์บอมบ์ที่ยะลา และที่หาดใหญ่ยังไม่ทันจาง ขุนทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ซึ่งเดินทางลงพื้นที่ จ.ยะลา เพื่อดูบาดแผลของ “คาร์บอมบ์” ก็เกิดอาการเบรกไม่อยู่ด้วยคำพูดไม่เห็นด้วยกับการเปิดพื้นที่พูดคุยกับ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ด้วยการฟันธงว่าโจรมีหลายกลุ่ม ไม่มีเอกภาพ ไม่รู้จะไปพูดกับใคร และพูดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
ทั้งที่ ก่อนหน้านี่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งอยู่ในฟากรัฐบาลออกมาให้ข่าวใหญ่โตว่า รัฐบาลได้สั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผอ.ศอ.บต. ไปเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพื่อหาแนวทางสร้างความสงบสุขในจังหวัดชายแดน ภาคใต้
ชาวบ้านที่เห็นข่าวและได้ฟังความของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว งงๆ เพราะไม่รู้ว่า ระหว่าง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ใครมีอำนาจกว่าใครและใครใหญ่กว่าใคร ตกลงระหว่างรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถมีนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้หรือไม่
และที่งงๆ ไปยิ่งกว่านั้นคือ ยุทธศาสตร์ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในข้อ 8 ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้เปิดพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มที่มีความเห็นต่าง ความขัดแย้งทางความคิดทุกกลุ่ม เพื่อลดความรุนแรง เขียนกันไว้เล่นๆ โก้ๆ เพื่อโชว์ต่างชาติให้เห็นถึงความหรูหราของนโยบายอย่างเดียว แต่ห้ามนำไปปฏิบัติใช่หรือไม่
อันนี้ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่อยากรู้ แต่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เขาฝากถาม และต้องการคำตอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ห้ามตอบแทน เพราะคำตอบของ ผบ.ทบ.ทุกคนรับรู้แล้ว
ทั้งที่ ก่อนหน้านี่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งอยู่ในฟากรัฐบาลออกมาให้ข่าวใหญ่โตว่า รัฐบาลได้สั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผอ.ศอ.บต. ไปเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพื่อหาแนวทางสร้างความสงบสุขในจังหวัดชายแดน ภาคใต้
ชาวบ้านที่เห็นข่าวและได้ฟังความของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว งงๆ เพราะไม่รู้ว่า ระหว่าง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ใครมีอำนาจกว่าใครและใครใหญ่กว่าใคร ตกลงระหว่างรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถมีนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้หรือไม่
และที่งงๆ ไปยิ่งกว่านั้นคือ ยุทธศาสตร์ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในข้อ 8 ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้เปิดพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มที่มีความเห็นต่าง ความขัดแย้งทางความคิดทุกกลุ่ม เพื่อลดความรุนแรง เขียนกันไว้เล่นๆ โก้ๆ เพื่อโชว์ต่างชาติให้เห็นถึงความหรูหราของนโยบายอย่างเดียว แต่ห้ามนำไปปฏิบัติใช่หรือไม่
อันนี้ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่อยากรู้ แต่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เขาฝากถาม และต้องการคำตอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ห้ามตอบแทน เพราะคำตอบของ ผบ.ทบ.ทุกคนรับรู้แล้ว
ผมคิดว่าในความสับสนอลหม่านของขบวนการดับไฟใต้ที่ว่า เปิดพื้นที่พูดคุยหรือการเจรจากับไม่เจรจามี “นัย” สำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ ความสับสนงงๆ เง็งๆ ที่เกิดขึ้น และเห็นถึงความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานมีเป้าหมายอยู่ที่ ศอ.บต. และเป็น ศอ.บต. ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาธิการ
เพราะการจุดประเด็นเรื่องเจรจา เกิดจากการเปิดประเด็นของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยมีการฉุดดึง พ.ต.อ.ทวี เข้ามาเป็นตัวละคร และเป็นตัวละครที่สำคัญ เพราะเป็นรู้กันว่า กอ.รมน.นั้น มีความต้องการลึกๆ ที่จะปรับ ศอ.บต.ให้เป็นหน่วยงานท้องถิ่น เป็นสำนักงานส่วนแยกที่ขึ้นตรงกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และย้ายเลขาธิการ ศอ.บต.กลับไปปฏิบัติหน้าที่ยังส่วนกลาง
การให้ข่าวว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นผู้เจรจากับโจรแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่รู้ว่ากองทัพมีนโยบายไม่เจรจากับโจร จึงเป็นการพุ่งปลายหอกไปยัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อย่างเต็มยอดอก
“นัย” ของเรื่องนี้ยังพุ่งไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวจากหน่วยข่าวกรองระบุว่า เดินทางไปพบกับ “ฮาซัน ตอยิบ” ผู้นำขบวนการพูโลเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อให้พูโลยุติบทบาทในเวทีโลก
การเปิดโปง เรื่อง 2 เรื่อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่เป็นการเปิดโปงเพื่อให้สอดคล้องกัน เพื่อให้มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า รวมทั้งการเชื่อมโยงตัวละครอย่าง “นัจมุดดีน อูมา” ว่าเป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และเป็นตัวกลางในการเปิดเวทีการพูดคุยทั้งระหว่าง พ.ต.อ.ทวี กับบีอาร์เอ็นฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพูโล
แต่ในขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กลับปฏิเสธว่า นับตั้งแต่มาเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. ไม่เคยไปเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย ไม่ว่าจะเป็นบีอาร์เอ็นฯ หรือพูโล ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่หรือนอกประเทศ การไปมาเลเซียไปเพื่อพบกับผู้คนในชมรมต้มยำกุ้งเพื่อหาทางช่วยเหลือ ลดค่าเวิร์กเปอร์มิตให้แก่คนเหล่านี้ ซึ่งสุดท้าย รัฐบาลมาเลเซียไม่ยอมผ่อนผัน ต้องให้ไอแบงก์ช่วยเหลือในการให้เงินกู้
รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี เองได้กล่าวว่า ตั้งแต่มาเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. ยังไม่เคยจดปลายปากกาแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาแม้แต่คนเดียว รวมทั้งไม่เคยแต่งตั้ง “นัจมุดดีน อูมา” อดีต ส.ส.ชื่อดังของ จ.นราธิวาส ก็ไม่เคย แต่ยอมรับว่ามีการพบปะพูดคุยกับผู้คนทุกกลุ่ม เพราะต้องการแลกเปลี่ยน และสร้างความชอบธรรม เป็นธรรมในการหาแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
เมื่อต่อ “จิ๊กซอว์” ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่สับสนอลหม่าน จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเป็นขบวนการ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสำคัญ และก้าวต่อไปก็คือการปรับโครงสร้างของ ศอ.บต. เพื่อให้เกิดการบูรณาการและเป็นเอกภาพในการดับไฟใต้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง การบูรณาการ และเอกภาพไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมของประเทศนี้
เพราะการที่ “ขุนทหาร” ออกมาไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ สมช.ซึ่งคือนโยบายของรัฐบาลได้ตอกย้ำและแสดงให้คนทั้งประเทศ เห็นกันอย่างจะจะแล้ว
ผมคงไม่บอกว่า รัฐบาลกับกองทัพเป็นเอกภาพหรือไม่ เพราะวิญญูชนทั้งหลายย่อมมีวิจารณญาณในการพิจารณาเอาเอง
เพราะการจุดประเด็นเรื่องเจรจา เกิดจากการเปิดประเด็นของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง โดยมีการฉุดดึง พ.ต.อ.ทวี เข้ามาเป็นตัวละคร และเป็นตัวละครที่สำคัญ เพราะเป็นรู้กันว่า กอ.รมน.นั้น มีความต้องการลึกๆ ที่จะปรับ ศอ.บต.ให้เป็นหน่วยงานท้องถิ่น เป็นสำนักงานส่วนแยกที่ขึ้นตรงกับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และย้ายเลขาธิการ ศอ.บต.กลับไปปฏิบัติหน้าที่ยังส่วนกลาง
การให้ข่าวว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นผู้เจรจากับโจรแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่รู้ว่ากองทัพมีนโยบายไม่เจรจากับโจร จึงเป็นการพุ่งปลายหอกไปยัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อย่างเต็มยอดอก
“นัย” ของเรื่องนี้ยังพุ่งไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวจากหน่วยข่าวกรองระบุว่า เดินทางไปพบกับ “ฮาซัน ตอยิบ” ผู้นำขบวนการพูโลเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อให้พูโลยุติบทบาทในเวทีโลก
การเปิดโปง เรื่อง 2 เรื่อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่เป็นการเปิดโปงเพื่อให้สอดคล้องกัน เพื่อให้มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า รวมทั้งการเชื่อมโยงตัวละครอย่าง “นัจมุดดีน อูมา” ว่าเป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และเป็นตัวกลางในการเปิดเวทีการพูดคุยทั้งระหว่าง พ.ต.อ.ทวี กับบีอาร์เอ็นฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ กับพูโล
แต่ในขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กลับปฏิเสธว่า นับตั้งแต่มาเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. ไม่เคยไปเจรจากับกลุ่มก่อการร้าย ไม่ว่าจะเป็นบีอาร์เอ็นฯ หรือพูโล ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่หรือนอกประเทศ การไปมาเลเซียไปเพื่อพบกับผู้คนในชมรมต้มยำกุ้งเพื่อหาทางช่วยเหลือ ลดค่าเวิร์กเปอร์มิตให้แก่คนเหล่านี้ ซึ่งสุดท้าย รัฐบาลมาเลเซียไม่ยอมผ่อนผัน ต้องให้ไอแบงก์ช่วยเหลือในการให้เงินกู้
รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี เองได้กล่าวว่า ตั้งแต่มาเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. ยังไม่เคยจดปลายปากกาแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาแม้แต่คนเดียว รวมทั้งไม่เคยแต่งตั้ง “นัจมุดดีน อูมา” อดีต ส.ส.ชื่อดังของ จ.นราธิวาส ก็ไม่เคย แต่ยอมรับว่ามีการพบปะพูดคุยกับผู้คนทุกกลุ่ม เพราะต้องการแลกเปลี่ยน และสร้างความชอบธรรม เป็นธรรมในการหาแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
เมื่อต่อ “จิ๊กซอว์” ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่สับสนอลหม่าน จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเป็นขบวนการ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสำคัญ และก้าวต่อไปก็คือการปรับโครงสร้างของ ศอ.บต. เพื่อให้เกิดการบูรณาการและเป็นเอกภาพในการดับไฟใต้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง การบูรณาการ และเอกภาพไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมของประเทศนี้
เพราะการที่ “ขุนทหาร” ออกมาไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ สมช.ซึ่งคือนโยบายของรัฐบาลได้ตอกย้ำและแสดงให้คนทั้งประเทศ เห็นกันอย่างจะจะแล้ว
ผมคงไม่บอกว่า รัฐบาลกับกองทัพเป็นเอกภาพหรือไม่ เพราะวิญญูชนทั้งหลายย่อมมีวิจารณญาณในการพิจารณาเอาเอง
ข้อมูลจาก...ผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ทั่วไป กรุณาใช้คำสุภาพ